เคยสงสัยไหมกระเป๋าบิทคอยน์มีหน้าตาเป็นอย่างไร ในเมื่อบิทคอยน์ไม่มีรูปร่าง ไม่สามารถจับต้องได้ แล้วจะมีกระเป๋าไว้เพื่ออะไร แล้วกระเป๋ามีกี่ประเภท มีวิธีใช้งานได้อย่างไร เป็นสิ่งแรกเลยที่นักลงทุนจะต้องให้ความสำคัญและทำความเข้าใจ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากว่าขุดได้แต่ไม่สามารถนำมาซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ ก็ไม่มีประโยชน์ใช่ไหม ดังนั้นมาทำความเข้าใจไปพร้อม ๆ กันเลย
กระเป๋าบิทคอยน์ ไม่เหมือนกระเป๋าใส่เงินทั่วไป ที่สามารถใส่ธนบัตรและอื่น ๆ ได้อย่างง่ายดาย แต่กระเป๋าบิทคอยน์ เป็นการเก็บรักษาบิทคอยน์หรือสกุลเงินดิจิทัลให้มีความปลอดภัย ในรูปแบบของแอดเดรสและกุญแจส่วนตัว ผู้ใช้จำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจก่อนเป็นอันดับแรก
ก่อนที่จะไปทำความเข้าใจเรื่องกระเป๋าบิทคอยน์ จะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับแอดเดรสก่อน ซึ่งมีการทำงานคล้ายกับรูปแบบของธนาคาร โดยธนาคารจะมีชื่อเจ้าของบัญชี และเลขที่บัญชีที่เฉพาะเจาะจงไม่ซ้ำกับใคร สามารถตรวจสอบได้ว่าเจ้าของบัญชีเป็นใครอยู่ที่ไหน
ส่วนบิทคอยน์จะมีแอดเดรสอยู่ที่ประมาณ 27-34 ตัว เสมือนเป็นชื่อบัญชี และกุญแจส่วนตัว ซึ่งเปรียบเสมือนพาสเวิร์ดในการเปิดตู้เซฟ ไว้ใช้เพื่อยืนยันตัวตนเมื่อต้องการที่จะถอนหรือส่งบินคอยน์ ซึ่งทั้งแอดเดรสและกุญแจส่วนตัว จะไม่สามารถตั้งหรือเป็นผู้กำหนดเองได้ แต่เกิดการการถอดรหัสทางคณิตศาสตร์ เพื่อให้มีความปลอดภัยจากการโจรกรรม ในระหว่างเดียวกันผู้ใช้ควรเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี จะลืมหรือเปิดเผยไม่ได้โดยเด็ดขาด
การเก็บรักษาบิทคอยน์ แยกตามประเภทกระเป๋าได้ดังต่อไปนี้
1. Desktop Wallet
กระเป๋าบิทคอยน์ประเภทนี้ คือโปรแกรม Wallet ที่สามารถดาวน์โหลดมาติดตั้งบนเครื่องคอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุ๊ก และเป็นที่รู้จักมากที่สุดนั่นก็คือ Bitcoin Core ซึ่งเป็นของบิทคอยน์เอง ทำหน้าที่เชื่อมต่อเข้ากับระบบแล้ว ยังทำหน้าที่เป็นวอลเล็ตให้อีกด้วย นับว่าเป็นกระเป๋ารุ่นแรกเลยก็ว่าได้
2. Hot Wallet หรือ Online Wallet
กระเป๋าบิทคอยน์ประเภทนี้ กุญแจส่วนตัวจะถูกครอบครองโดยผู้ให้บริการวอลเล็ตทำให้ผู้ใช้งานสามารถตั้งรหัสเพื่อเข้ากระเป๋าผ่านผู้ให้บริการเองได้ เข้าใช้ผ่านระบบอินเตอร์เน็ตหรือแอปโทรศัพท์มือถือ ทำให้สะดวกสบายในการเข้าใช้ แต่ควรระวังผู้ให้บริการ แน่นอนว่าผู้ให้บริการเป็นผู้เก็บกุญแจส่วนตัวไว้ หากวันใดวันหนึ่งปิดกิจการหรือตั้งใจที่จะโกง ก็จะสามารถนำบิทคอยน์ของผู้ใช้ทั้งหมดไปด้วยได้เช่นกัน
3. Cold Storage Wallet
กระเป๋าบิทคอยน์ประเภทนี้ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาทั้ง 2 แบบในข้างต้น โดยเล็งเห็นว่า ทั้งสองรูปแบบนั้น มีสิ่งที่นำพาความไม่ปลอดภัยมาสู่วอลเล็ตนั่นก็คือ การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต เพราะฉะนั้นจึงทำให้วอลเล็ตไม่สามารถเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตได้
โดยแบบที่นิยมมากที่สุดของ Cold Storage คือ Paper Wallet ซึ่งเป็นการปริ้นท์แอดเดรส และกุญแจส่วนตัวไว้บนกระดาษ เมื่อถึงเวลาที่ต้องการจะถอนบิทคอยน์ออกจากแอดเดรส ก็นำแอดเดรสที่ปริ้นท์ไว้ไปใช้กับ Desktop Wallet หรือ Online Wallet
4. Hardware Wallet
กระเป๋าบิทคอยน์ประเภทสุดท้ายนี้ เป็นวอลเล็ตที่ถูกพัฒนาเพื่อแก้ไขจุดด้อยของวอลเล็ตประเภทอื่น ๆ โดยการสร้างฮาร์ดแวร์ที่ออกแบบมาเพื่อบิทคอยน์โดยเฉพาะ จะคล้าย ๆ กับธัมป์ไดรฟ์ที่เราใช้กันทั่วไป เพียงอุปกรณ์นี้ออกแบบมาเพื่อบิทคอยน์เท่านั้น บางอันสามารถเชื่อมต่อเข้ากับคอมพิเตอร์ที่มีไวรัสหรือถูกแฮ็ก ก็ไม่มีผลต่อความปลอดภัย Hardware Walletแต่อย่างใด ซึ่งประเภทนี้นับว่าเป็นประเภทที่ปลอดภัยที่สุด ในระหว่างเดียวกันราคาก็จะสูงตามมาด้วย
เมื่อสามารถขุดหาทรัพย์สินได้ ก็จำเป็นที่จะต้องมีวิธีเก็บรักษาอย่างปลอดภัย ด้วยกระเป๋าบิทคอยน์ ที่มีความปลอดภัย แม้ว่าบิทคอยน์จะไม่สามารถจับต้องได้ แต่ก็ควรเก็บไว้ในกระเป๋าที่สามารถดูแลและปกป้องบิทคอยน์ได้ เพราะเสมือนเป็นตู้เซฟที่เก็บทรัพย์สินของนักลงทุนเลยก็ว่าได้
ถ้านักลงทุนมือใหม่ ไม่ว่าจะเป็นสายขุด หรือสายเทรด แต่ไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ แน่นอนว่าจะยิ่งมีโอกาสหลงกลเหล่าแฮกเกอร์ในรูปแบบต่าง ๆ แต่เมื่อมีความเข้าใจว่ากระเป๋าแต่ละประเภททำหน้าที่อย่างไร และจะเลือกใช้อย่างไร ป้องกันได้อย่างไร ก็จะช่วยให้มีความมั่นใจและปลอดภัยยิ่งขึ้น
ปัจจุบันนักลงทุนมือใหม่ที่เพิ่งให้ความสนใจเกี่ยวกับบิทคอยน์ โดยเฉพาะสายเทรดหรือเก็งกำไร กระเป๋าบิทคอยน์ส่วนใหญ่ก็จะใช้ในรูปแบบ Online Wallet โดยเข้าผ่านแอปหรือเว็บไซต์ของโบรกเกอร์นั้น ๆ และอย่าลืมว่าโบรกเกอร์เป็นผู้ที่เก็บรักษาบัญชีให้กับเรา จึงควรมองหาโบรกเกอร์ที่มีความมั่นคง และสามารถเชื่อถือได้
ในประเทศไทยมีโบรกเกอร์ที่อยู่ภายใต้การรับรองจาก ก.ล.ต. จึงทำให้มั่นใจได้ในระดับหนึ่งว่า เป็นโบรกเกอร์ที่เปิดถูกต้องตามกฎหมาย ปฎิบัติตามกฎและอยู่ภายใต้การดูแลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงทำให้มั่นใจได้ในระดับหนึ่ง ไม่ใช่โบรกเกอร์เถื่อนที่ยังไม่มีการรับรอง ซึ่งจะกระทำการอย่างไรก็ได้ แบบนี้ไม่ปลอดภัยแน่
ดังนั้น ไม่ว่าจะเลือกเป็นนักลงทุนสายไหน สายขุดหรือสายเทรด กระเป๋าบิทคอยน์จึงเป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอันดับหนึ่ง เพราะต่อให้มีความสามารถในการหาบิทคอยน์มาเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อต้องการที่จะถอน โอน หรือซื้อขายแลกเปลี่ยน แล้วไม่สามารถทำได้ ก็ไร้ซึ่งความหมาย จริงไหม